มุมกาแฟคออักษร

o_pen.gif

About ธุลีดิน

just wanna write and live simple life am I a dreamer ?

Posted on มกราคม 3, 2007, in ถังขยะ. Bookmark the permalink. 36 ความเห็น.

  1. ย้ายร้านสวัสดิ์ขอรับมวลมิตร

    ข้าพเจ้าย้ายร้านกาแฟมาที่นี่ เพราะชอบความเร็วได้ใจ อีกทั้งผู้คนน่าคบหาสมาคม ข้าพเจ้าเทียวไปเทียวมาอยู่หลายรอบ กว่าจะหาทำ(ธีม)เลได้ วันนี้เป็นอันเรียบร้อย เปิดร้านต้อนรับปีใหม่

    สำหรับพ่อแม่พี่น้องชาว wordpress ฝากมุมกาแฟเล็ก ๆ ด้วยขอร้าบบบบบ

    คารวะ
    ดิน

  2. ศิษย์ทวดที่เคารพ

    ผมจำต้องจำลองหรือติ๊ต่างว่าท่านเป็น บอกอ จริงๆ แล้วผมก็ต้องเขียนเหมือนกำลังจะส่งให้ท่าน เพราะทุกครั้งที่ทำอย่างนี้ ผมเขียนออก เขียนลื่น เขียนไหล และสำเร็จดังจุดมุ่งหมายทุกชิ้น…

    ตัวหนังสือของผมเดินทางถึงไหนแล้ว?

    คำตอบคือที่เดิมขอรับ ที่เดิมที่มันเคยอยู่

    ตั้งใจไว้ว่าจะเริ่มงานเขียนอย่างเอาจริงเอาจังในวันปีใหม่ แต่ผ่านมาจนถึงวันนี้ วันที่ 3 แล้ว แต่ตัวหนังสือของผมยังไม่หล่นลงหน้ากระดาษเลยแม้แต่ตัวเดียว

    บ่อยครั้งเขียนๆไป ไอ้สำนวนบ้าบอคอแตกที่นักวิชาการชอบใช้มันก็ผุดขึ้นมาเอง นี่กระมังที่เขาชอบว่ากันว่า เสพสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น…

    อ่านอะไรก็ได้สิ่งนั้น…ชิบ!

    อ่านตำรา เสือกเขียนหนังสือไม่ออก

    บางคราปล่อยเวลาผ่านไปเฉยๆ หนังสือไม่อ่าน ตำราไม่ดู ปากกาไม่จับ เอนกายรอให้เรื่องราวมันผุด สั่งสมอารมณ์โดยการหวนคิดถึงบางช่วงของชีวิต บางขณะได้กลิ่นเข้มข้นจนอยากร้องไห้ ครั้งหยิบปากกาขึ้นมาเขียน มันดันตีบ

    บล็อกแก๊งอืดมากๆ ไม่ทราบว่าท่านอยากได้เพื่อนบ้านเพิ่มอีกสักคนไหม?

  3. เปิดร้านสวัสดิ์ขอรับท่านศิษย์เหลนที่เคารพ

    พระคุณท่านสตีวี่ บอกไว้ว่า ตอนเขียนงานทุกชิ้นเราจะมีผู้อ่านในใจอยู่คนหนึ่ง เรากำลังคุยกับคน ๆ นั้น อีกกี่ร้อยกี่พันคนจะว่าไง ช่างประไร! เรากำลังสือสารกันคน ๆ เดียว

    นั่นกระมัง ประเด็น !

    ข้าพเจ้ายินดีที่จะเป็นไอ้หมอนั่น (ถึงจะต้องรับบทบอกอกำมะลอก็เหอะ) ถึงอย่างไรข้าพเจ้าบรรลุความตั้งใจแล้ว ความตั้งใจที่จะได้อ่านงานของบรรดาศิษย์พี่ที่เคารพ โดยไม่ต้องรอคอย เมื่อไรจะมา(ฟะ)

    ได้เห็นงานของเหล่าท่านทุกสิบห้าวัน นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว เวลาที่เหลือก็ตั้งหน้าตั้งตาปั่นงานไป

    ตัวอักษรวิชาการ พาท่านออกนอกลู่(ไปบ้าง)แน่ ๆ แต่ก็แลกด้วยความรู้ทางวิชาการซึ่งนับว่าไม่ได้สูญเปล่า

    ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยคิดว่า อ่านแต่ภาษาอังกฤษแล้วภาษาไทยของตูข้าจะพัฒนาอย่างไร บัดนี้มาได้เห็นท่านเจ้าสำนักที่ทั้งอยู่เมืองนอก เรียนนอก กำลังควงภาษาไทย ไล่บี้คนที่เขียนมาก่อนท่านเป็นสิบ ๆ ปี ท่านอาจารย์เสกสรร อยู่กับตำราวิชาการ ภาษาเขียนของท่านกลับพริ้งพรายดุจประกายไหมสะท้อนเงา

    ต้องมีอะไรบางอย่างอยู่แน่ ๆ ท่านว่าไหม?

    ข้าพเจ้าไปชวนพี่ท่านอานันท์ยิก ๆ เพราะที่ช่องว่างสเปซ ต้องคอย log in ทำให้ลำบากกับการทิ้งข้อความ มาอยู่ที่นี่ ทักทายกันสะดวกหน่อย กับท่านย่าฯไม่กล้าชวนเพราะชวนย้ายมาทีแล้ว (เดี๋ยวโดน จุด จุด) กับท่าน ข้าพเจ้าเห็นว่า เจ้าโชแปงกำลังฮอทฮิต ทิ้งมาน่าเห็นใจคนที่กำลังติดตาม เลยไม่กล้าชวน

    มาเมื่อไร จะเปิดแชมเปญป่าต้อนรับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า

    คารวะ

  4. สวัสดีขอรับท่าน

    วันที่ 1 มกราคม 2550 กระผมนอนซมเพราะพิษไข้ตัวร้อนจนแม่ต้องถามว่าไปโรงพยาบาลไหม กระผมกลั้นใจตอบกลับแม่ไปว่า No อยากลองกับมันดูสักตั้ง ได้พาราเซตามอลไปขนานเดียว นอนอยู่บนโซฟาหนาวทั้งที่แดดเปรี้ยง ห่มผ้านวมอีกสองผืน หวังเพียงให้เมื่อไหร่เหงื่อจะออก กระผมหลับไปไม่รู้กี่ตื่นจนตะวันตกดิน แม่ปลุกให้ลุกมากินข้าวต้ม กินไปได้เพียงนิด ก็ทำท่าจะอาเจียนเข้าให้อีก ไม่ไหวจึงเลิกกิน ลงนอนต่อ

    ข้ามวันข้ามคืนนู้นแล้วขอรับ กระผมจึงสร่างไข้ และครบร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เช้าวันนี้เอง 4 มกราคม 2550 ไม่ได้เป็นอะไรหนักๆขนาดนี้มาหลายปีแล้วขอรับ พอเป็นทีรู้สึกแย่ไปเลย

    ว่าจะมาปรึกษาท่านเรื่องการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ทแบบไร้สายอย่างที่ท่านใช้ขอรับ ท่านใช้มันอย่างไร ผ่านระบบโมบายโฟนหรือไม่ผ่านขอรับ กระผมมีแนวโน้มว่าจะย้ายไปอยู่บนดอยสักพัก แล้วที่นั่นก็ทำท่าจะไม่มีอินเตอร์เน็ตใช้ ให้ตายสิขอรับ เคยเข้าไปครั้งหนึ่งหวังจะเข้าไปเช็คจดหมาย ทั้งร้านมีเครื่องคอมพ์นับสิบเครื่อง แต่ใช้อินเตอร์เน็ตไม่ได้สักเครื่อง มีแต่เปิดให้เล่นเกม ไปขอใช้อินเตอร์เน็ตตำบล เขาก็ว่าไม่ได้ต่อแล้ว

    ท่านช่วยไขปริศนาให้กระผมด้วยขอรับ
    เอาละกระผมไปปั้นก้าวที่สามต่อเสียทีดีกว่า หากเสร็จกระผมจะได้รีบร่อนไปถึงพี่หนุงหนิงขอรับ

    ด้วยคารวะขอรับ
    ไอซ์

  5. ถึงท่านดินที่เคารพฯ…

    เรื่องของพื้นที่ในโลกเสมือนจริงแห่งนี้ ข้าพเจ้ามิได้ยึดติดเท่าไหร่นักค่ะ
    หลังจากปลุกปล้ำกับมันมาพอสมควร

    ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ..ได้อย่างเสียอย่าง..หรือ..ได้ทั้งสองอย่าง
    ล้วนขึ้นกับมุมมอง

    บล็อกแก้งค์อืดมาก..เราก็ย้าย
    ส่วนคุณสมบัติแต่ละพื้นที่..นั่นถือเป็นเรื่องรอง(ขอบคุณสหายเช่นท่านอีกเช่นเคย ที่บอกเล่าให้กระจ่าง ในหลายพื้นที่)..
    หากจุดประสงค์หลัก(ของข้าพเจ้าเองนะคะ)..คือสิ่งใดเราย่อมทราบดีที่สุดๆนะคะ…เขียนต่อไปค่ะ

    มีข้อสังเกตที่ข้าพเจ้าเปิดเปิดบล็อกทิ้งไว้หลายที่
    อย่างที่ท่านว่านั่นแหละ…เรามีหลาย Categories ให้เลือกสรร
    เรื่องยาว เรื่องสั้น แต่ถ้านึกถึงความสนใจแล้ว ผู้อ่าน(โดยส่วนใหญ่)จะไม่คลิ้กไปที่ Categories อื่นๆ ส่วนใหญ่ก็จะอ่านแค่หน้าแรก วัดความสนใจกันเห็นๆค่ะ

    ข้าพเจ้าก็เลยสร้างไว้…บล็อกละคอนเซ็ปน่ะค่ะ (จริงๆไม่น่าเลียนแบบ)
    เป็นความชอบส่วนตัวเท่านั้น…คิดเห็นอย่างไร ล้วนขึ้นกับมุมมอง ค่ะ

    ด้วยมิตรภาพและน้ำชา
    นานี่

    ปล.ที่พี่วินทร์ตอบท่านด้านบน..ทำข้าพเจ้าอมยิ้มไปนานทีเดียว..ส่วนอมยิ้มเรื่องใดนั้น…ไม่บอกค่ะ!

  6. ไม่บอกข้าพเจ้าก็พอจะเดาออก อุ อุ
    ท่านอมยิ้มถือว่ายังน่าอภัย (แต่นานนนไปหน่อย ฮึ!)
    สำหรับblogconcept น่าคิด นั่นแสดงว่าท่านให้ความสำคัญกับ ‘บรรยากาศ’ของเรื่องเป็น priority

    มีบล็อกรวมอยู่สักที่ คลิกทีก็บรรยากาศหนึ่ง ไม่เลวเนอะ

    สำหรับข้าพเจ้าจะใช้ร้านกาแฟนี่แหละ !
    คิดเสียว่านั่งอ่านหนังสือในร้านกาแฟ แหะ แหะ บรรยากาศเดียว กลิ่นเดียว แต่หลายรสนะต่ะเอง

    000

    ท่านป๋าที่เคารพ

    ยินดีที่ท่านหายเจ็บไข้ได้ป่วยแล้ว ยินดีอย่างยิ่ง !
    ข้าพเจ้าเป็นคนป่วย เข้าใจ คุ้นเคยความรู้สึกตอนเจ็บป่วยอย่างเข้าใส้

    ข้าพเจ้าเป็นถูมิแพ้ ป่วยกระปริดกระปรอย(เขียนไง?) เหมือนป่วยไม่ค่อยออก มันออกมาทีละนิด ละนิด หายไปสักสองสามอาทิตย์ พอโดนอะไรที่แพ้ ป่วยอีกแล้ว

    ครั้งหนึ่ง

    ข้าพเจ้าตัวร้อนฉ่า ปั่นจักรยานไปสนามบอลด้วยกิจวัตรนิสัย นั่งดูพักพวกเล่นกัน พวกมันบอกว่าสำออย ออกมาวิ่งสักรอบสองรอบก็หายแล้ว ข้าพเจ้าด้วยอารมณ์อยากเล่นบอล เอาเสียหน่อยเผื่อจริงอย่างมันว่า

    ที่ไหนได้ ! กลับบ้านอาการหนัก !

    ข้าพเจ้าเป็นอยุ่อย่างนั้นร่วมสิบปี ป่วยทุกเดือน ไม่รู้ทนอยู่ได้อย่างไร
    จนยอมตัดใจทิ้งเมือง นั่นแหละ จึงได้ชีวิตกลับคืน

    เป้าหมายชีวิตของผู้คนแตกต่างกันไป

    เป้าหมายชีวิตของข้าพเจ้าซกมกมาก
    เป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนมีเป็นปกติ จนแทบไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่า ‘มีอยู่’

    ข้าพเจ้าต้องการสุขภาพที่ดี ไม่เจ็บป่วยทุกเดือน หรือทุกสามเดือน หกเดือน
    จนปัจจุบัน ถึงวันสิ้นปี
    ผู้คนมักทบทวน ปีนี้ทำเงินได้เท่าไร ? บรรลุเป้าหมาย(การเงิน)หรือไม่?

    สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้านั่งทบทวน

    ‘ป่วยกี่ครั้ง?’

    มีบ้างโดนที่แพ้เข้าไป แต่ไม่ถึงขนาดล้มหมอน
    มีกระดูกสันหลังเคลื่อนเมื่อต้นปี ซึ่งไม่เกี่ยวกับ ‘ภูมิแพ้’
    มีปวดฟันอย่างหนัก (โง่เองไม่รู้ว่ามียาแก้ปวดฟัน ดีนะป้าโคบอก อิ อิ)

    มองกลับไปสรุปว่า แจ๋ว ! ข้าพเจ้าได้มาแล้วสุขภาพปกติ
    และจะต้องดูแลให้ปกติเช่นนี้ต่อไปสำหรับปีนี้

    ท่านก็เช่นกัลล์
    ดุแลดี ๆ นะขอรับ เพราะท่านมีอีกหนึ่งสุขภาพที่ต้องดูแล(อย่างยิ่งยวด)

    อ้าว !

    จะตอบท่านเรื่อง net gprs ดันโม้เรื่องสุขภาพ
    แล้วจะเอาไปแปะที่ห้องน้ำท่านขอรับ

    คารวะ

  7. สวัสดีปีใหม่ขอรับ สหายที่เคารพ

    กลิ่นกาแฟของท่านนั้นโชยไปแตะจมูกข้าพเจ้าจนได้ ดูท่าว่าสหายเถ้าก็เป็นพวกทำบล็อกเลื่อนลอยเฉกเช่นเดียวกับตูข้า ชอบสร้างสภาพแวดล้อมใหม่เพื่อให้อะไรๆมันดูแปลกตาคึกคัก มีชีวิตชีวา เหมือนพวกเปลี่ยนปากกาบ่อยๆทั้งๆที่ใช้หมึกข้างในไม่หมดเลยเสียด้ามเดียว เฮ้ออ…สหาย(ข้าพเจ้าทอดถอนหายใจ)

    วันหยุดยาวครานี้ข้าพเจ้าทำตัวเหมือนเด็กนั่งตีขาอยู่ขอบอ่างน้ำวน หามุมเงียบๆเลียดหนังสือไปวันๆทำความสะอาดสภาพแวดล้อมทั้งข้างในข้างนอก ผู้คนในเมืองก็ยังเดินวนเวียนกันอยู่ในเมืองคล้ายน้ำที่วนอยู่ในอ่าง แต่ปีนี้มีอะไรบางอย่างดึงสติผู้คนให้หันมาระวังตัวตัวกันมากขึ้น จะว่าไม่ดีก็ไม่ดี จะว่าดีก็ดี ข้าพเจ้ามิได้ไถลตัวไปแถวๆนั้นเพียงเตร่ไปมาอยู่รอบนอก (นอกเมืองเลยละท่าน) แต่ก็ยังมิวายต้องมาเจอะเจอ ระเบิดที่ว่าน่ากลัวแล้ว คนเสียสตินี่ยิ่งน่ากลัวยิ่งกว่า บางคนยกหูโทรศัพท์พูดคุยกัน อยู่ห่างจากที่เกิดเหตุไกลโข ยังมิวายโหวกเหวกโวยวายพาลให้คนรอบข้างตระหนกตกตื่นไปตามกัน เฮ้อ…สหาย(ข้าพเจ้าถอนหายใจอีกแล้ว)

    ปีใหม่ครานี้มีคนถามข้าพเจ้าว่ามีอะไรใหม่ในชีวิตบ้าง ปีนี้ไม่มีอะไรใหม่นอกจากตัวเลขพศ.ที่เขียนไม่เหมือนปีที่แล้ว ข้าพเจ้าในปีนี้ได้จังหวะชีวิตเก่าๆกลับมา จังหวะที่หายไปนาน จังหวะอะไร?

    จังหวะของการวิ่งขอรับ จำได้ว่าสมัยยังเรียนข้าพเจ้าออกวิ่งทุกเย็น ขณะวิ่งยังติดนิสัยนับก้าวแบบ นักศึกษาวิชาทหาร หยุดหลายวันนี้ข้าพเจ้าเอาจังหวะนั้นมาใช้กับชีวิตประจำวันอีกครั้ง วันแรกด้วยความคะนองวิ่งรอบสวนหลวงไปรอบกว่า กลับมานอนปวดขาอยู่วันเต็มๆ วันต่อมาจึงได้แต่เดินเตาะแตะ ชมนกชมไม้ ละลายความคิดที่มันขุ่นๆจากการงานของปีเก่า ข้าพเจ้าไม่ได้หายใจเข้าอย่างเต็มปอดแบบนี้มานานแล้ว คนในเมืองถ้าได้มาอยู่ในสวนเช่นข้าพเจ้าก็คงคิดเหมือนกันว่าเดี้ยวนี้อากาศดีๆถ้าไม่เดินเข้าห้างก็ต้องนอนอยู่ในบ้าน ใต้ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่พอประมาณจึงสามารถกรองสารตะกั่วคารบอนที่ปนอยู่ในอากาศได้

    เผลอแวบเดียวเหล่าท่านๆก็จะก้าวที่สามกันแล้ว เมื่อจังหวะเริ่มเข้าที่งานเขียนก็คงลื่นไหลออกมาละขอรับ ข้าพเจ้าเองก็พยายามจะเข้ามาทักทายสหายท่านเป็นประจำ ประการหนึ่งก็คล้ายจะอาศัยพื้นที่สนทนาแห่งนี้ปรับจังหวะของตัวเองให้คงที่ และมีประเด็นให้ไหลไป หลักที่ตั้งไว้ก็มิได้ศุนย์เปล่า งานเขียนข้าพเจ้าก็ยังไหลเนืองๆดีมิมีตก ไม่เร่งร้อนอันใด แต่ถ้าให้จมอยู่กับการเขียนคนเดียวยาวนานเกินไปข้าพเจ้าก็เบื่อหน่ายตัวเองเช่นกัน

    “คนผู้หนึ่งดื่มคนเดียวไม่มีคู่ดื่ม … ไร้รสชาติ
    คนผู้หนึ่งรับประทานคนเดียวโดยไร้เพื่อนกิน … ก็ไร้รสชาติอย่างยิ่ง ”

    กวนยี่/คมดาบสั้น/โกวเล้ง

    ข้าพเจ้าเพียงคิดเข้ามาทักทายท่านแวบเดียวกลับไถลไปเรื่อย
    นี้กลับเรียกว่ายังรักษาจังหวะไม่คงที่ (เฮ้อ….) เอาไว้ว่าจังหวะดีๆ
    ข้าพเจ้าเข้ามาจิบกาแฟที่เหลาคาแฟอินของท่านอีกครา

    ครานี้ข้าพเจ้าจรลาก่อนสหาย

    คารวะ หนึ่งจอก

  8. ฮ่า ฮ่า ท่านกระบี่พลิ้ว ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นจอมยุทธผ่านทางมาฝากริ้วรอยกระบี่ไว้
    ที่แท้เป็นท่าน !

    ใช้เวลาวันหยุดกับเหล่าตัวอักษรสำเร็จเสร็จสิ้นแล้วกระมังขอรับ

    ‘ตั้งหลัก’ ของท่านทำให้ข้าพเจ้าเล่นกับ ‘บันทึกอักษรกระบี่’ ได้อย่างเพลิดเพลิน ยังไม่รุ้สึกว่าอยากหยุด ราวสภาวะกระบี่ยังไม่ยอมสิ้นสุด เป็นเพลงกระบี่ที่ก่อกำเนิดขึ้นจากการต้านรับ เคลื่อนคล้อย หนุนเนื่องต่อพลังแฝงของ ‘ตั้งหลัก’

    งานเขียนที่ดีเป็นเช่นนี้
    ฝนคมคิด กระตุ้นจินตนาการ ก่อพลังสะท้อนบางอย่าง

    การค้นพบท่าร่างครั้งนี้ ล้วนเกิดจากการผสานโต้ตอบกันไปมา
    ขุมพลังแฝงเร้นจึงเปล่งอานุภาพ เกิดเพลงกระบี่ที่ทำให้พัฒนาทักษะยุทธ์

    กล่องสี่เหลี่ยมใบน้อยที่เรียกคอมเม้นท์สำหรับผู้นคนในโลกหล้า อาจเป็นแค่ที่ทิ้งคำทักทาย
    สำหรับเรา กลับเป็นสถานที่วิจารณ์กระบี่ ศึกษา หาช่องโหว่ จนถึงเสริมต่อจินตนาการก่อเกิดเพลงกระบี่ชุดใหม่

    สายลมพลิ้ว
    บุปผาร่วง
    สภาวะกระบี่ยังไม่สิ้นสุด
    ท่าร่างคว้างวน ก่อพลังพยุหะวายุหนุนเนื่อง

    ข้าพเจ้าจะ ฝึกฝน ฝึกฝน จนกว่าจะค้นพบ ‘ใจกระบี่’

    คารวะคว่ำจอก !

  9. เย็นย่ำสวัสดิ์เจ้าค่ะสหายผีตองเหลือง

    ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ข้าพเจ้ายุ่งกับการปรับตารางชีวิตของปี พ.ศ. ใหม่ ตอนนี้ทุกอย่างกำลังคลี่คลาย คาดว่าจะลงตัวในไม่ช้า (ทั้งเรื่องสุขภาพ งาน และชีวิตประจำวัน) ต้องขออภัยสหายจริงๆ ที่เพิ่งโผล่หน้าแวะมาเยี่ยม

    มาช้าดีกว่าไม่มาเลยมิใช่หรือ?

    เห็นท่านมีมิตรรักแฟนอักษรมานั่งจิบกาแฟเป็นเพื่อน ข้าพเจ้าค่อยอุ่นใจหน่อย ว่าท่านคงมิเหงาเปล่าเปลี่ยวเกินไปนัก แต่ก็นั่นแหละ ความเหงาทางหน้าจอ คงทำร้ายท่านไม่ได้ เมื่อเทียบกับการต้องอยู่กระท่อมอย่างโดดเดี่ยวใต้ต้นโพธิ์ทะเล

    เห็นพวกท่านทยอยย้ายบล็อกหนีหน้ากันมาเรื่อยๆ ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกเหมือนที่ท่านว่า เหมือนเราห่างไกลกันมากขึ้น ทั้งๆ ที่เพียงปลายนิ้วสัมผัสแป้น เราก็สื่อสารถึงกันได้เหมือนเดิม หน้าจอสร้างภาพลวงให้เราได้จริงๆ เจ้าค่ะ

    อ๊ะ ๆ ไม่ต้องชวนข้าพเจ้าย้ายบล็อกเลย ข้าพเจ้ายังไม่พร้อมเจ้าค่ะ
    ขืนย้ายตามมา อีกสามเดือนท่านชวนข้าพเจ้าย้ายต่อ ข้าพเจ้ายังไม่อยากเป็นสมาชิกเผ่าผีตองเหลือง

    จริงๆ แล้ว อย่างที่เคยบอก ข้าพเจ้าไม่เคยคิดจะสร้างบล็อกด้วยซ้ำไป ถ้าไม่ใช่เพราะท่านเป็นคนชวน ป่านนี้เหลาชมจันทร์ก็ยังคงยังไม่เปิดแพรคลุมป้าย

    สำหรับข้าพเจ้าแค่ได้โพสท์งานที่บ้านหนอน และเก็บงานไว้ในสมุดอิเล็กโทรนิคส่วนตัวก็เพียงพอแล้ว ข้าพเจ้าไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่านั้น

    ข้าพเจ้ามองว่าการมีบล็อกทำให้มี “ทุกข์” เจ้าค่ะ
    ทุกข์ที่เกิดขึ้นเหมือนกับร่างกายคนเราที่ต้องการการดูแล เอาใจใส่ บำรุงรักษาให้สวยงาม ถ้าไม่มีคนสนใจมอง ก็เกิดทุกข์
    การมีบล็อกของตัวเอง เหมือนสร้าง “ตัวกู ของกู” เกิดความรู้สึกเป็นตัวเรา ของเรา เกิดภาระ ความรับผิดชอบตามมา

    ถ้าต่อไปพวกท่านย้ายหนีข้าพเจ้ามากันหมด ข้าพเจ้าคงปิดเหลาฯ ถาวรแล้วเจ้าค่ะ
    ทุกวันนี้ที่เปิดเหลาฯ อยู่ ก็ใช้ประโยชน์แค่โพสท์งาน และให้เพื่อนๆ เข้ามาพูดคุย

    สำหรับการโพสท์งาน ข้าพเจ้ายังโพสท์ได้ที่บ้านหนอน
    สำหรับการเก็บงาน ข้าพเจ้าเก็บได้ในคอมฯ ส่วนตัว
    สำหรับการพูดคุยกับเหล่าสหาย ข้าพเจ้าก็ทำได้โดยติดต่อผ่านบล็อกของพวกท่าน หรือวิธีอื่นๆ
    ดังนั้น ถ้าไร้สหายอยู่ร่วม ข้าพเจ้าก็มองไม่เห็นประโยชน์อันใดในการเปิดเหลาฯ

    อืม…ตั้งใจจะเข้ามาเพียงแค่ทักทาย จิบกาแฟสักแก้ว ดันพล่ามเสียยืดยาว
    ราตรีสวัสดิ์เลยแล้วกันเจ้าค่ะ

  10. สาธุ…(ยกมือท่วมหัว)แม่เนกขัมมะย่าหนุงฯ

    อยู่ใกล้ท่านพาใจพลอยสงบเย็น ตอนนั่งเจื้อยแจ้วเจรจา ไม่ทราบนุ่งขาวห่มขาวอยู่ด้วยหรือเปล่าเจ้าคะ? ขอบพระคุณที่ช่วยเตือนสติ ข้าพเจ้าจะ(พยายาม)ชัดเจนกับการดูแลร้านกาแฟเล็ก ๆ ช่องนี้ ด้วยคอนเซ็ปที่ใช้ดูแลชีวิต เป็นหนึ่งเดียวกับชีวิต…

    เขียนนิยายอยู่หลังร้าน
    นั่งอ่านหนังสือยามไม่มีสหายลูกค้าเข้ามาพูดคุย
    ปุจฉา-วิสัชนา แลกเปลี่ยนแง่คิด มุมมองกับสหาย ตามประสาคนขวนคิด
    จัดร้าน-ปัดกวาดร้าน ทุกวันอาทิตย์

    แล้วปล่อยชีวิตดำเนินไป….
    ดีไหมขอรับ…แม่ย่าเนกขัมมะหนุงฯ

  11. ด้วยความเคารพครับพี่หนุงหนิง

    ผมเพียงแต่คิดว่า หากไปยึดไปติดเสียแล้ว
    ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน จะทำอะไร
    ก็คงไม่พ้นที่จะคิดว่า ตัวกู ของกู เป็นแน่ครับ

    ผมมองอย่างนั้นครับ

    เอิ๊กๆๆๆ
    ด้วยมิตรภาพครับ

    +++

    สวัสดีขอรับท่านธุลีดิน

    ขอบคุณมากขอรับสำหรับวิสัชนา

  12. ได้เลยท่านป๋า

  13. แหม…เมื่อวานก็เกือบห่มขาวทั้งตัวแล้วเจ้าค่ะ ถ้าไม่ติดว่ามีลายดอกไม้เล็กๆ อยู่ด้วย

    ท่านไอซ์ ไม่ต้องแสดงความเคารพข้าพเจ้ามากขนาดนั้นก็ได้
    ความคิดเห็นคนเรา แตกต่างกันได้ เพราะคนเราให้คุณค่ากับสิ่งต่างๆ แตกต่างกัน ไม่ต้องกลัวข้าพเจ้าโกรธหรอก ข้าพเจ้าสิกลัวว่าพวกท่านจะโกรธข้าพเจ้ามากกว่า ประมาณว่ามือไม่พายเอาเท้าราน้ำ

    สิ่งที่ท่านบอก

    “หากไปยึดไปติดเสียแล้ว
    ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน จะทำอะไร
    ก็คงไม่พ้นที่จะคิดว่า ตัวกู ของกู”

    ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับที่ท่านกล่าวร้อยเปอร์เซ็นต์
    ข้าพเจ้าคงยังปล่อยวางไม่ได้ จึงไม่อยากสร้างพันธะผูกพันอะไรขึ้นมาอีก
    วิธีแก้ปัญหา ก็คือตัดไฟเสียแต่ต้นลม

    ด้วยมิตรภาพเช่นกันเจ้าค่ะ

    ป.ล.ข้าพเจ้าว่าเสียงหัวเราะของท่านเหมือนซดขวดเขียวเข้าไปเต็มขนาดนะเนี่ย เพลาๆ หน่อยนะท่านไอซ์

  14. โทษทีท่าน ลืมบอกไป เช็คเมล์หน่อยนะ ต้องการคำตอบด่วน

  15. สวัสดียามเย็นขอรับ

    พี่หนุงหนิง

    โทษทีท่าน ลืมบอกไป เช็คเมล์หน่อยนะ ต้องการคำตอบด่วน

    นั่นหมายถึงผมอ๊ะป่าวครับ
    หากหมายถึงผม แฮ่ๆๆๆๆๆ ผมยังไม่เห็นคำถามครับ ไปเช็คตู้จดหมายมาแล้วด้วยขอรับ
    มีแต่ FW ภาพโป๊ เพิ่งเบิ่งจนนัยน์ตาหวานฉ่ำ
    อย่างไรหากนั่นเป็นคำถามของผม พี่หนุงหนิงช่วยกรุณาถามใหม่อีกครั้งนะครับ

    อยากบอกตามตรงว่า ตั้งแต่จับไข้เมื่อวันที่ 1 มกราคม ที่ผ่านมา
    ผมเอียนเหล้าเอียนบุหรี่ เสียแล้วครับ
    ทุกวันนี้เหล้าไม่ได้แตะ บุหรี่ก็ขอแฟนสูบวันละมวน ไม่ใช่สิ สูบไปเพียงสามสี่คำ ก็พะอืดพะอมขมปร่าในปากในคอ ที่ยังสูบวันละมวนอยู่นั้นก็เพียงความอยากที่ยังสิงไม่สร่างนั่นแล้วขอรับ หากว่ามันเลิกอยากได้ ผมคงเลิกบุหรี่ได้

    อิอิ
    อาจมีคนที่มาอ่านแล้วคิดว่า ตรูเห็นมันพูดมาหลายทีแระ เดี๋ยวมันก็ดูดอีก
    ผมรู้น่า อิอิ

    ไม่รู้แหละครั้งนี้ผมว่าผมน่าจะเลิกได้แหงมๆ
    เอิ๊กๆ

    ด้วยมิตรภาพ
    ไอซ์

  16. สวัสดีเจ้าค่ะท่านไอซ์

    แหะ แหะ โทษที ข้อความนั้นข้าพเจ้าฝากให้เจ้าของร้านกาแฟเจ้าค่ะ

    “ไม่รู้แหละครั้งนี้ผมว่าผมน่าจะเลิกได้แหงมๆ”

    ยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับข่าวดี

    ตั้งแต่กลับจากทริปเมรัยสัญจร ๒ ข้าพเจ้าได้รับข่าวดีมาตลอด
    เริ่มจากป้าโคฯ ที่เขียนมาบอกข้าพเจ้าว่าจะเลิกดื่มเมรัยตลอดชีวิต
    ถัดมาก็ท่านธุลีดินซึ่งแสดงความตั้งใจอย่างชัดเจนว่าปีนี้จะเลิกเหล้า
    รายล่าสุดคือท่านอ้ายฯ ที่บอกข้าพเจ้าว่าจะปิดห้องหมัก

    วันนี้ข้าพเจ้ามีโอกาสเจอท่านพี่อานันท์ ปากไม่อยู่สุขตามเคย โน้มน้าวท่านพี่อานันท์จนหมากหมดไปสามคำให้ท่านพี่อานันท์ละอายต่อบาปในการผิดศีลข้อ ๕

    ดูท่านพี่อานันท์เกรงกลัวฤทธิ์น้ำหมากกระชากวิญญาณของข้าพเจ้าอยู่ไม่น้อย ถึงกับตะกุกตะกักแก้ตัวจนล้อนจ้อนว่า ปกติก็ไม่ค่อยได้ดื่ม ปีใหม่ก็ไม่ได้แตะเหล้าเลย ดื่มครั้งล่าสุดเมื่อสองวันก่อน เนื่องจากความจำเป็นบังคับ (คงดื่มหนัก ยังแฮงค์มาจนถึงวันนี้)

    แม้ปีนี้จะมีเสียงตูมตามดังต้อนรับปีใหม่ แต่ข้าพเจ้าถือว่าการที่สหายของข้าพเจ้าทั้งหลาย มีความตั้งใจที่ดีเช่นนี้ ถือเป็นข่าวดีต้อนรับปีใหม่ของใครหลายคน โดยเฉพาะคนในครอบครัว

    ขออำนวยพรให้พวกท่านทุกคนมีสุขภาพใจที่เข้มแข็ง
    ทำสำเร็จดังตั้งใจด้วยเทอญ

    ด้วยพหลโยธิน
    หนุงหนิง

    ป.ล. ไม่ต้องยกมือไหว้ท่วมหัวเลยท่านไอซ์ รู้นะว่าคิดอะไรอยู่

  17. ไอซ์คุงครับ..
    อิอิ
    อาจมีคนที่มาอ่านแล้วคิดว่า ตรูเห็นมันพูดมาหลายทีแระ เดี๋ยวมันก็ดูดอีก
    ผมรู้น่า อิอิ
    …..ใครกันหนอ จะกล้าคิดเช่นนี้ เด้วพี่น่าจัดการให้ ดีเปล่าคะ หุ หุ 😉

    ***
    ท่านดินคะ..
    เมื่อคืนโทษที ที่ให้เล่นซ่อนหาจนหอบแฮกๆนะคะ
    แล้วก็ขอบคุณ คำกวี แด่พี่สาวแสนดี ของข้าพเจ้านะคะ นับถือ นับถือ 🙂

  18. สาธุ…ท่านย่าฯ
    ได้เลยที่นานี่…

    มุดมุ้งล่ะ วี้ วี้ วี้

  19. “คุณไม่สามารถช่วยเหลือผู้อื่นต่อไปได้เรื่อยๆ หากคุณไม่ดูแลตัวเอง–ความสงบมั่นคงของคุณ อิสรภาพของคุณ ความสุขของคุณ เป็นเรื่องสำคัญยิ่งต่อคนอื่นๆ

    “หากคุณทำงานมากและเครียดกับมันจนเกินไป คุณจะเคลื่อนต่อไปไม่ได้ คุณจะสูญเสียพลัง ดังนั้นกรุณาหาหนทางด้วยวิธีการใดก็ได้ เพื่อจะปกป้องคุ้มครองตัวคุณเอง ถ้าทำได้เช่นนี้ คุณจะมีพลังที่จะช่วยเหลือคนอื่นได้เป็นเวลานาน” (ติช นัท ฮันท์)

    .
    .

    เว่วๆๆ ธุลีดิน เลอ คาเฟ่ สวย สดใส ไฉไลกว่าเดิมเยอะ นี่แหละหนาคนเรา ย่อมมีพัฒนาการขึ้นมาจากการทำซ้ำๆ กันอย่างนี้นี่เอง–ข้าน้อยขอดัดจริตคารวะก่อนหนึ่งจอก

    (เอ๊า เดี๋ยวดี้ เผาหัวก่อน เอ…เขียนไรดีหว่า? ติ๊กต๊อกๆๆ อ่ะ! กำลังดื่มกาแฟ ใช่ คุยเรื่องกาแฟดีก่า)

    ขึ้นชื่อว่าติด ไม่ว่าจะติดอะไรก็แล้วแต่ ผมว่าการที่ “เรา” จะพยายามเลิกมันให้ได้นั้น ต้องใช้กำลังใจอย่างมากเลยล่ะครับ

    ผมเป็นคนติดกาแฟขอรับ ในปีก่อนๆ รวมทั้งปีหมาที่ผ่านมาผมจะดื่มวันละ 3 ถ้วย เป๊กแรกตอนเช้า เป๊กสองตอนเที่ยง และเป๊กสามตอนบ่าย กาแฟที่ดื่มก็มีการพัฒนามาเรื่อยยังกับทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ล ดาวิน นั่นแหละครับ เริ่มแรกคว้าอะไรได้เป็นชงดื่มไม่เลือก จากนั้นก็เริ่มพัฒนามาเป็นยี่ห้อเนสกาแฟโกลด์ เทสเตอร์ช้อยส์ เคนโก้ และอื่นๆ

    ตัญหาคือความทะยานอยากในรูป รส และกลิ่นกาแฟ ของผมมันถมไม่เต็มจริงๆ ขอรับ เพราะเมื่อปีก่อนดันทะลึ่งไปนั่ง Cafe’ de Paris อีนางมันชง espresso มาให้หนึ่งเป๊ก ใช่ครับ มันควรจะเรียกว่าเป๊กเหมือนยาดองบ้านเรา เพราะกระบวนกาแฟตามสไตล์ฝรั่งเศสหรืออิตาลี่นั้น พี่แกจะซดกันแค่ถ้วยเล็กๆ เท่าถ้วยตะไลเท่านั้น

    น้ำของมันจะเหนียวหนึบยังกะรินออกมาจากกระติกน้ำมันเครื่อง กลิ่นของมันจะเข้มขลังยังกะน้ำมันพรายที่สามารถพรากวิญญาณของผู้ดื่มออกจากร่างอย่างง่ายดาย รสชาติหรือก็แรงบรม ยังกะเหล้าป่าแช่มีดโกน พอบรรจงจิบหมดถ้วยอานุภาพของมันจึงทำให้นักดื่มหน้าใหม่มีอาการราวกับองค์ลง

    แต่พอผมไปดื่มบ่อยเข้า ติดเลยซีครับ

    แฮ่ม! กาแฟครับ ไม่ใช่สาวเสิร์ฟ

    ครั้นไม่มีตังค์ไปนั่งแทะโลมบรรยากาศในร้านด้วยสายตาบ่อยๆ เกล้าจึงวิวัฒนาการถอยหลังหนึ่งสเต็ป คือซื้อผงกาแฟที่บดแล้วจากร้านกับที่ชงมาชงดื่มเอง โดยจะชงให้เข้ม ดิบ เถื่อนเข้าไว้ มันถึงจะสาแกใจคนที่มีคอธรรมะเช่นผม

    ดื่มกาแฟเข้มๆ อย่างนั้นมาพักใหญ่ พอมาสักเกตดูตัวเองอีกครั้ง เอ ทำไมตอนอยากกาแฟมือไม้มันถึงสั่นๆ หว่า ตอนดื่มหัวใจก็เต้นแรงเหมือนถูกกุมารทองถีบ เฮ้ย ชักไม่ไหวแล้วเหวย ต้องเพลาๆ ลงบ้างเห็นจะดี

    มาปีนี้ เกล้าจึงเจ๊าะแจ๊ะกับมันแค่วันละถ้วย (ฮีโธ่! แต่ก่อนคืนละสามก็เคยทำมาแล้ว) หมายถึงไอ้ที่เข้มๆ แบบ espresso นะครับ เวลาเดินผ่านที่ชงกาแฟในตอนบ่ายทีไรมือมันจะสั่น จิตใจมันจะอาลัยอาวรณ์ไม่อยากเดินผ่านไปง่ายๆ มีอยู่หลายครั้งที่ปากมันร่วมมือกับใจ บังคับให้มือไปหยิบกาแฟมาชงดื่ม โดยที่ตาไม่สามารถช่วยอะไรได้ ได้แต่กระพริบปริบๆ ดูมันนั่งเอกเขนกจิบกาแฟอ่านหนังสืออย่างสบายอารมณ์

    เหตุนั้นเกล้าถึงรู้ว่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายนักหากเราคิดจะเลิกอะไรสักอย่างที่เรา “ติด” มันเข้าให้แล้ว

    แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากนักหากเราจะเลิกมันจริงๆ

    เป็นกำลังใจนะครับ สำหรับทุกท่านเลยที่กำลังจะเลิกเหล้า บุรี่ ขี้เกียจ มักง่าย และจัญไรบรมเรื่องในกมลสันดาน

    ผมเผลออีกแล้วเหรอเนี่ย ว่าจะเขียนเรื่องอื่นๆ อีกตั้งหลายเรื่อง เป็นต้นว่าทักทายกับย่าหนุงฯ กล่าวของคุณธรรมะที่ท่านย่าเอามาฝากไว้ในกระทู้บนโน้นนน แล้วไหนจะท่านนีน่า ท่านไอซ์ และท่านอื่นๆ อีกหลายท่าน เอ๊า ไม่เป็นไรครับ คราวหน้าๆ เกล้าจะโม้ให้น้อยลง แล้วจะมาทักทายใหม่

    .
    .

    “บางคนมีทัศนะต่อความตายว่าคือการยุติ ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องคำนึงถึงให้เสียเวลา แต่ถ้าชีวิตหลังความตายมีอยู่จริงล่ะ? มันช่างน่าคิดมากเสียยิ่งกว่าความตายเสียอีก เพราะถ้าชาติหน้ามีจริงนั้นหมายถึง การใช้ชีวิตในแต่ละวันของเราทุกคนนี้คือการทำข้อสอบ ทำกำลังรอฟังผลการตัดสินในวันสิ้นลม ว่าจะสอบตกหรือผ่าน แต่อนิจจา ถ้าวันนั้นมาถึง เรากลับไม่มีโอกาสสอบซ่อมเพื่อแก้ตัว” (ดังตฤณ–จากหนังสือ “เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน”)

  20. วุ้ย สอ นะ สอ ทำคำของ “ดังตฤณ” เพี้ยนอีกแล้ว

    ทำกำลังรอฟังผล—->เรากำลังรอฟังผล

  21. สวัสดียามบ่ายเจ้าค่ะ

    เห็นท่านสอสอเม้าท์น้ำลายแตกฟองแล้ว ข้าพเจ้าก็อดนิ้วมือกระดุ๊กกระดิ๊ก เหมือนตอนน้ำลายสออยากกินหมากไม่ได้

    ทุกครั้งที่มาเยี่ยม ท่านสอสอมักยกคำของท่านดังตฤณบ้าง ท่านติช นัท ฮันท์ และสารพัดสารพันชื่อมาฝาก ข้าพเจ้าถึงกับ อึ้ง!

    ข้าพเจ้าเองอ่านงานของท่านเหล่านั้นมาบ้าง และชื่นชอบงานของท่านทั้งหลายเหล่านั้น แต่ท่านเชื่อไหม ไม่เคยมีอะไรซึมเข้าหัวข้าพเจ้าเลย คงเป็นเพราะขี้เลื่อยในสมองจับตัวเป็นก้อนแข็ง จนแม้แต่อณูธุลีก็ไม่สามารถแทรกผ่านไปได้

    ได้ท่านสอสอมาช่วยกระเทาะขี้เลื้อยให้มีรอยแยก นับว่าเกิดมามีบุญยิ่งนัก

    พูดถึงเรื่องกาแฟ ถ้าเป็นกาแฟรสชาติสุดหฤโหด เช่น espresso ของอิตาลีแท้ ข้าพเจ้าเคยไม่เจียมปลายลิ้น กระแดะยกซดกับเขาบ้าง ขนาดเท่าเป๊กยาดองดังที่ท่านกล่าวจริงๆ ความแรงเนสกาแฟคงต้องเรียกพี่

    ข้าพเจ้าเป็นคนไม่ดื่มกาแฟ ดื่มทีไร หัวใจพลันเต้นโครมครามจนจะทะลุมานอกอก ต้องนอนพะงาบให้หายอาการหน้ามืดเป็นลมสถานเดียว พอเจอ espresso เข้าไป ท่านเอ๊ย….แทบโทรเรียกปอเต็กตึ้ง

    พูดถึงเรื่อง “ติด” ข้าพเจ้าไม่เคยติดอะไร นอกจาก “ติดหนี้” อิอิ
    ไม่รู้ชาตินี้จะใช้หมดหรือเปล่า
    เอ…หรือว่าข้าพเจ้าจะหันไปติดเหล้า บุหรี่แทนดี

    ขอบคุณท่านสอสอมากที่แวะมาเยี่ยม (เยี่ยมท่านธุลีดิน ก็ถือว่าเยี่ยมข้าพเจ้าด้วยแหละน่า นี่ข้าพเจ้าว่าจะปิดบล็อกตัวเองมาอาศัยท่านธุลีดินอยู่ด้วยคน )

    ข้าพเจ้าล่ะคิดถึ้ง คิดถึงท่านจริงๆ
    ฝีปากอย่างนี้น่าจะยืมไปสับหมูที่บ้าน

    อ๊ะ ๆ อย่านะ อย่ามาประลองฝีปากกับข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้า………………..ขอยอมแพ้ตั้งแต่ในมุ้งเจ้าค่ะ

  22. สวัสดิปีใหม่ขอรับท่านสองสอ

    ปีใหม่ท่านไปไหน? ไปทำอะไรมาบ้าง?
    ไม่ลองขยายให้ฟังสักหน่อยหรือขอรับ?

    มาเบิกฤกษ์ร้านกาแฟที่ใหม่ ท่านนำธรรมพจน์ท่านติช นัท อันท์ มาฝากเชียว เมื่อคืนวานท่านเนกขัมมะย่าหนุงฯก็นุ่งขาวร่ายบาลีจนข้าพเจ้าประเคนกัณฑ์เทศน์แทบไม่ทัน ดูท่า เห็นจะต้องเปลี่ยนร้านกาแฟเป็น ‘ธรรมศาลา’ เสียล่ะกระมัง

    ข้าพเจ้ารู้จักท่านติช นัท ฮันท์ ครั้งแรก น่าจะจาก ‘กุญแจเซ็น’ (ถ้าจำไม่ผิด)
    ไม่ค่อยแน่ใจนามท่านผู้เรียบเรียง นานนักหนาแล้ว ขณะนั้นยังเป็นละอ่อน ลงวิชาปีหนึ่ง แต่ทะลึ่งอ่านแต่พอคเก็ตบุ้ค ตำราเรียนไม่เคยแตะ

    เป็นครั้งแรกที่บังเกิดภาวะ ‘โพล่ง’ !!
    กวาดขยะก็เป็นการฝึกสมาธิรึ??

    มันเหมือนโดนเขกกบาลแรง ๆ เพราะก่อนหน้า ข้าพเจ้าถูกฝังหัวให้ขยันเล่าเรียนเพียรศึกษา จะเดินเหินก็ให้ท่องบ่นตำรา ล้างถ้วยล้างจานให้ควรท่องสูตรคูณ สูตรสาระพัดสาระพัน ข้าพเจ้ากลายเป็นคน ‘ทำอย่าง คิดอีกอย่าง’ มาแต่ไหนแต่ไร โดยไม่รู้ตัว

    กว่ารู้สึกตัว เกือบโดนรถชน !!
    มัวเดินท่องสูตรคูณ ลืมดูซ้ายดูขวา

    หลังจากอาการ ‘โพล่ง’ ครั้งนั้น ข้าพเจ้าไม่เหมือนผู้คนเข้าทุกที นานเข้าชักสงสัย เซ็นใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน “แน่รึ?”

    ไม่รู้สิ !!

    รู้แต่ผ่านมาหลายปี ข้าพเจ้าเลิกคิดอย่างทำอย่าง
    ปรับวิธีคิด วิถีชีวิต จน่เข้าใกล้ท่านผู้เป็นคนโง่บนภูเขาเข้าไปทุกที

    อีกสักหน่อย หากไม่ไปเฝ้าพระอินทร์เสียก่อน คงได้เปิด ‘ธัมวิลเลจ’ เอาไว้เป็นฝาแฝดกับ ‘พลัมวิลเลจ’ ท่านว่าดีไหม?

    OOO

    ย่าหนุงฯขอร้าบบบ
    คมปากเราะร้าย ยังคมกริบราวเข้มบุปผาพิษ หมู่บ้านเหมย
    ดูท่าจะกลับมาฟิตดังเก่า จึงได้แหย่เย้ากระตุกหนวดเสีอใส่สะเก็ตเช่นนั้น
    ผู้น้อยด้อยวรยุทธ ขอมุดเข้ารู คอยรอดูเห็นจะดีเป็นแน่แท้….แฮ่ !!~

    คารวะ

  23. ห้า…พี่สองตามกลิ่นกาแฟมาแล้ว

    ท่านย่าก็มา (ห่มขาวมาเสียด้วย)

    แต่ข้าน้องแวบมาทักทายแป้บเดียวเดียวขอจรก่อนละขอรับ
    จะไปวิ่งหาจังหวะ เสียหน่อย (ระวัง . ระวัง . นับ . นึ่ง . สอง . สาม .)

    ไปละขอรับพรุ่งนี้แวบมาเล็มรสกาแฟใหม่

    (-_-)\ ลาท่านไอซ์ พี่นานี่ พี่สอง ท่านเถ้า ท่านย่าขอรับ

    แวบๆ

  24. ฮ่วย!!

    เมื่อเย็น โมโหอะไรก็ไม่รู้ ไอ้อีฟมันดื้อเลยตบะแตกแหกปากตวาดลูก
    ไอ้อีฟสะดุ้งโหยง มองหน้าแล้วเบะปาก ร้องไห้ตำน้ำล่วงเลย

    ฮ่วย!!

    โบร๋ววววววววววววววววววววว
    แง่งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง

    คารวะครับ
    ไอซ์

  25. อา…ความสุขขอรับความสุข
    ความสุขของครอบครัวประกอบขึ้นด้วยส่วนสัดเช่นนี้เอง

    ข้าพเจ้าไม่เคยมีโอกาสลิ้มรสความรู้สึกเสียใจที่ใช้อารมณ์กับลูก
    ด้วยข้าพเจ้าไม่มีผู้ใดให้ตวาด

    รสชาตินั้นเป็นเช่นไร?
    ยังมีผู้ใดเข้าใจ…

    เสียงร้องท่านคุ้น ๆ นะขอรับ

  26. เย็นย่ำสวัสดิ์เจ้าค่ะ

    เห็นพวกหนุ่มๆ สุมหัวคุยกัน ข้าพเจ้าอดมาแอบฟังไม่ได้ เคยได้ยินมาว่าเวลาหนุ่มๆ คุยกัน มักชอบนินทาผู้หญิง

    ข้าพเจ้าเองแม้จะดีแสนดี ไม่เคยกระดำกระด่างด้วยรอยราคีใด แต่คาดว่าหนุ่มๆ ผีเจาะปาก เอ๊ย! ไม่ใช่ฝีปากอย่างพวกท่านก็ยังขุดคุ้ยค่อนแคะข้าพเจ้าได้อยู่ดี

    ดูสิ! ขนาดนุ่งขาวห่มขาว กล่าวปิยวาจาไพเราะเสนาะหู ยังมิวายถูกกระแนะกระแหน เดี๋ยวก็ถือเคียวร่อนมาเสียเลยนี่

    ถึงท่านสอสอ…

    ข้าน้อยมิกล้าไปเทียบเคียงฝีปากท่านดอก ข้าพเจ้ายอมรับว่า “โม้” สู้ท่านไม่ได้ ฮ่า ฮ่า

    หนังสือของท่านติช นัท ฮันท์ ข้าพเจ้าเคยอ่านเมื่อสองสามปีก่อน จนป่านนี้ข้าพเจ้ายังอ่านไม่จบเลย แหะ แหะ

    ส่วนของท่านดังตฤณเคยอ่านอยู่สองสามเล่ม เล่มแรกก็ “กรรมพยากรณ์” เล่มสองก็ “คิดจากความว่าง” (ข้าพเจ้าชอบเล่มนี้มากที่สุด อ่านง่าย ที่สำคัญ ถูกจริต) เล่มปัจจุบันที่กำลังอ่านอยู่คือ “มีชีวิตที่คิดไม่ถึง” เล่มนี้อ่านมานานนับเดือน สองเดือน สามเดือน สี่เดือนแล้ว ก็ยังไม่จบสักที

    อืม..สงสัยข้าพเจ้าจะเป็นหนี้ท่านเมื่อชาติปางก่อน ชาตินี้จึงต้องชดใช้หนี้น้ำหมากคืน
    ไม่เป็นไร ข้าพเจ้าจะนึกเสียว่ากำลังเล่นเกมกรรมกับท่านก็แล้วกันเนอะ

    ถึงท่านธุลีดิน…

    วันไหนจะเปิดธรรมศาลา รบกวนบอกล่วงหน้าจะได้เตรียมชุดขาวมา

    ท่านพูดถึงเรื่องล้างจาน ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงคำสอนเซ็น “เมื่อล้างจาน จงล้างจาน และล้างจาน”
    ข้าพเจ้าว่าเป็นประโยคง่ายๆ แต่กินใจดีแท้
    สอนเรื่องการมีสติได้ดีเยี่ยม ไม่ต้องพูดจาภาษาบาลี เว้ากันง่ายๆ ซื่อๆ อย่างนี้แหละ
    ทุกวันนี้เวลาข้าพเจ้าล้างจาน มักจะนึกถึงประโยคนี้เสมอ และค่อยดึงใจที่ล่องลอยไปอยู่ในหัวใจหนุ่มๆ มาจดจ่ออยู่กับสก็อตไบรท์

    อ้าว…เข้าเรื่องธรรมะไปอีกแล้ว นี่ขนาดข้าพเจ้าว่างเว้นจากการหนังสือธรรมะมาสองสามปีแล้วนะนี่
    สงสัยกรรมดียังคงหนุนนำ พูดคิดอะไรก็เป็นธรรมะไปหม้ดดดด ยิ่งได้ท่านสอ สอ มาชักจูงไปอย่างนี้ ทำเอาข้าพเจ้าเดินเป๋เข้าวัดไปเลย

    ถึงท่าน…

    เปิดบล็อกใหม่ มาอยู่ที่นี่กันหมดหรือท่าน มิน่า ไม่มีใครไปเยี่ยมข้าพเจ้าที่เหลาฯ เลย
    แต่ไม่เป็นไรหรอก ข้าพเจ้าจะมายึดหัวหาดของใครบางคนแถวนี้ เผื่ออยู่นานเกินสิบปี ได้เป็นกรรมสิทธิ์ถือครอง จะได้ไม่ต้องสร้างบล็อกเอง อิอิ

    วิธีนี้สบายดีจัง แฮ่…
    ไม่ต้องสร้างบล็อกให้ยุ่งยาก ไม่ต้องอัพบล้อก มีคนทำให้เสร็จสรรพ
    ปลอมตัวเป็นกาฝาก เอาปูนฉาบหน้าเข้าไว้ ไม่ไล่ ไม่ไป

    วันก่อนข้าพเจ้าเจอหน้าท่านที่ บล็อกนิตยสารก้าวรอก้าว ก็ยังงงๆ อยู่ว่าใครหว่า
    เล่นเปลี่ยนชื่อแซ่ เป็นฝาหรั่งเสียด้วย
    เลยไม่ได้ทักทาย

    ถึงท่านไอซ์…

    อย่าดุหลานอีฟของพวกเราชาวหนอนมากนะท่าน เดี๋ยวสวย
    คนอะไร เป็นพ่อคนแล้ว ยังใจร้อนอีก
    ว่างๆ มานุ่งขาวห่มขาวกับข้าพเจ้าดีกว่า รับรองใจเย็นเหมือนอยู่ขั้วโลกเชียว

    ถึงน้องนีน่า…

    ไม่ค่อยได้คุยกันเลยช่วงนี้ หวังว่าคงสบายดีนะจ๊ะ
    ได้ข่าวว่ากำลังเขียนนวนิยายอยู่เหรอ เอาใจช่วยนะ
    พี่ชอบงานน้องนะ อ่านแล้วละมุนละไมดี มีแววๆ สู้ๆ นะ เขียนเผื่อพี่ด้วย

    เอาละ…ป่วนทุกคนครบแล้ว พอหอมปากหอมคอ
    ข้าพเจ้าไปดีกว่า
    ราตรีสวัสดิ์เจ้าค่ะ

  27. “ศาสตร์ทุกอย่างล้วนมีหลักการและเหตุผลในตัวของมันเอง ถ้าใครก็ตามที่ได้มาศึกษาหลักปฏิจสมุปบาท คือรู้ว่าเพราะมีสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงมีขึ้นมาได้ รู้ถึงกฎการเกี่ยวเนื่องตามหลักธรรมชาติ แล้วใช้กฎหรือหลักการอันนี้เป็นจุดยืนในการศึกษาศาสตร์ต่างๆ จะทำให้มองทะลุถึงแก่นแท้แห่งศาสตร์นั้นๆ ถือว่าเป็น “การก้าวข้ามพรมแดนแห่งสรรพวิทยาทั้งมวล” (หลวงพ่อประยุทธ์ ปยุตโต)

    .
    .

    เอาๆๆ ทักทายเป็นรายบุคคลเรียงตามลำดับไปเลยเป็นไร

    ท่านย่าฯ : อย่าทึ่งเลยขอรับท่านย่า สงสัยว่าท่านคงจะพลาดความเห็นของเกล้า ที่เคยพูดถึงเรื่องเทคนิคการอ่านเฉพาะตัวไปน่ะขอรับ เกล้าเคยพูดกับท่านเถ้าเอาไว้ว่า ในการอ่านหนังสือของเกล้านั้น เกล้าจะใช้กระดาษเปล่ามาเป็นที่คั่นหนังสือแทน พออ่านไปเจอวรรคที่ “โดน” ก็จะจดหน้าและย่อหน้าเอาไว้ พออ่านหนังสือเล่มนั้นเสร็จ เกล้าก็จะมาคัดคำที่ดีเหล่านั้นลงมาเก็บไว้ในสมุดบันทึกทีหลัง

    เหตุนั้นอย่าแปลกใจเลยว่า ทำไมเกล้าถึงมีคำคมของปราชญ์เมธีเหล่านี้มาฝากพวกท่านอยู่เรื่อย เพราะมันง่ายแค่ปลายนิ้วพลิกหาเท่านั้นเอง

    อ่ะ ติดหนี้ ตัวใครตัวมันละหว่า
    แฮ่ๆๆ เกล้าก็ติดเหมือนกันแหละขอรับ ฉะนั้น อย่ามายืมตังค์เกล้าไปใช้หนี้เสียให้ยาก

    อยากจะยืมปากเกล้าไปสับหมูงั้นหรือขอรับ
    โอ้ นี่คงต้องถามน้องตุ้ยนุ้ยของเกล้าก่อน ว่าหล่อนจะอนุญาตหรือเปล่า

    .

    ท่านพี่เถ้า : ปีใหม่เกล้าไปไหน? ทำอะไรบ้างงั้นหรือขอรับ?
    “ที่นี่” หนาวจะตายชักเลยล่ะขอรับท่านพี่ ตอนกลางคืนอุณหภูมิจะติดลบ เช้าขึ้นมาก็จะป้วนเปี้ยนอยู่ประมาณ 4-8 องศา เดี๋ยวอีกหน่อนหิมะก็คงจะได้ฤกษ์ตก ครั้นจะไปมิวเซี่ยมหรือแกเลอรี่ภาพก็ไปมาหลายครั้งแล้ว ร้านหนังสือก็อย่าได้แวะไปเชียว เดี๋ยวเป็นเผลอไปหยิบอะไรต่ออะไรมาอีก

    หากมีวันหยุดยาวเช่นนี้ วิธีที่ดีที่สุดของเกล้าคือ นอนครับนอน นอนให้เต็มอิ่มแล้วลุกขึ้นมาชงกาแฟดื่ม หาหนังสือดีๆ อ่าน แล้วก็หัดเขียนเรื่องสั้นไปเรื่อยๆ

    เข้าเรื่องท่านติช นัท ฮันท์ ล่ะขอรับ

    “กวาดขยะก็เป็นการฝึกสมาธิได้” ใช่ครับ เกล้าไม่เถียงหรอก
    “อะไรล้วนเป็นกระบี่หากกระบี่อยู่ที่ใจ” ใช่ครับ หากเข้าถึงใจกระบี่
    “เขียนอะไรก็ได้ สำนวนมันอยู่ที่ปลายนิ้ว” ใช่ครับ หากเข้าถึงศาสตร์การประพันธ์

    แต่…ต้องฝึกสตินานเพียงใด ถึงจะควบคุมจิตได้แม้ขณะกวดขยะ
    แต่…ต้องเคี่ยวกรำตัวตนแค่ไหน ถึงจะหลอมรวมเป็นกระบี่
    แต่…ต้องฝึกควบคุมอักษรนานเพียงใด ถึงจะบงการมันได้ดังใจนึก

    ใดๆ ในโลกล้วนพูดง่ายครับ แต่พอลงมือทำนี่สิ เหอะๆๆ
    แต่…ไม่หนีความพยายามหรอกครับ หากอยากจะทำให้ได้จริงๆ

    ย้อนไปประมาณ 16 อสงไขยกัป มาณพหนุ่มผู้หนึ่งมีความปรารถนาในใจลึกๆ ว่าอยากเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง

    ย้อนไปประมาณ 4 อสงไขยกัป มาณพหนุ่มผู้นั้นเสวยชาติเป็นสุเมธดาบส แล้วเริ่มออกปากเป็นคำพูด ว่าปรารถนาโพธิญาณ

    เมื่อเร็วๆ นี้ ประมาณ 2600 ปีที่ผ่านมา มาณพหนุ่มผู้นั้นก็ทำให้ปณิธานของตัวเองสำเร็จ

    เห็นไหมครับ ปณิธานการอยากเป็นนักเขียน นักแปลของพวกเรา มันขี้ประติ๋วมาก พยายามหน่อยเถิดน่า ความสำเร็จไม่หนีไปไหนแน่ ว่าแต่ว่าผลสุดท้ายแล้วมัน…….???

    “พลัมวิลเลจ” ของท่านติช นัท เป็นที่คบค้าสมาคมกันของนักปราชญ์ เพื่อพบปะพูดคุยและช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลก ในการยกระดับจิตวิญญาณให้สูงขึ้น

    “ธัมวิลเลจ” ของพี่เถ้า คงจะเป็นได้แค่สถานที่สำหรับพวกเมาธรรมะมาเพ่นพาน พ่นน้ำมนต์ บ้วนน้ำหมากกันเล่นๆ เสียมากกว่าละกระมังขอรับ

    เอาเถิดเอา “ทะเลบาปกว้างไกลกลับใจย่อมเห็นฝั่ง” แม้ตอนนี้ทั้งตัวท่านและข้าน้อยยังไม่อยากกลับใจ ก็ว่ายไปเถิด ตีกันเชียงบ้าง ฟรีสไตล์บ้าง ดำผุดดำโผล่เหมือนกบกันบ้าง พอได้ดัดจริตคิดว่าสุขเล่นๆ ไปวันๆ เผลอกลับใจกันเมื่อไหร่ฝั่งไม่หนีไปไหนหรอกน่า

    .
    .

    “วิทยาศาสตร์จะได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นมาได้ ก็โดยอาศัยบุคคลที่เต็มเปี่ยมด้วยความปรารถนาต่อสัจจธรรม และปัญญาที่เข้าใจถึงความจริง นักวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงทุกคน มีความเชื่ออย่างลึกซึ้งว่า กฎเกณฑ์ที่กำกับสากลพิภพนี้เป็นสิ่งมีเหตุผล และสามารถเข้าใจได้ด้วยเหตุผล” (อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์)

  28. ท่านเข้าใจเปรียบเทียบได้เหมาะเหม็งดีแท้ท่าน ส.ส.

    กระผมเชื่อว่าการเขียนหนังสือคือการทำงานศิลปะ
    และศิลปะจะกล่อมเกลาหัวจิตหัวใจของคนเราให้เนียนและสงบลง

    ฮ่าๆๆๆๆ
    กระผมอาจมองการเปรียบเทียบของท่านไปคนละเรื่อง
    แต่มันช่างเข้ากันดีเป็นบ้า

    คารวะครับ
    ไอซ์

  29. “There is no subject so old that something new can not be said about it”
    “ไม่มีสิ่งใดเก่าเกินกว่าจะกล่าวถึงในแง่มุมใหม่”
    (Fyodor Dostoyevsky = ฟีโอดอร์ ดอยสโตเยฟสกี้)

    .
    .

    คำพูดประโยคนี้ของป๋าดอยฯ ผู้เปรียบว่าเป็นหมุดหมายอันยิ่งใหญ่แห่งโลกวรรณกรรมตะวันตก คงจะพอเข้ากันได้กับที่พวกพี่ท่านเคยพูดถึงเรื่อง “การวางพล็อตซ้ำ” บ้างกระมังขอรับ เห็นไหมขอรับ ป๋าดอยฯ แกเกิดมาก่อนพวกเราตั้งหลายร้อยขวบปี ยังมีปัญหาเรื่องการวางพล็อตซ้ำกันแหง๋ม ไม่งั้นป๋าแกคงไม่กล่าวคำพูดประโยคนี้ขึ้นมาหรอก

    เขียนไปเถิดขอรับ “ไม่มีสิ่งใดเก่าเกินกว่าจะกล่าวถึงในแง่มุมใหม่” แน่นอน เกล้าก็เชื่อเช่นนั้นเหมือนกัน

    (เว้นวรรคจิบฮอทช้อค)

    ตะแหว๋วๆๆ ไม่มีอะไรหรอกครับ ทำชีวิตให้ครึกครื้นเล่นๆ คนเดียวไปงั้นเองแหละ เอ๊าๆๆ ฮึบๆๆ ตะแหง๋วๆๆ

    “I’m not a perfect person, as many thing i wish i didn’t do, but i can tend you learning, i never men to do those thing to you, and so i have to say something before i go… ”

    ตะแหง๋วววว กำลังฟังเพลงไปด้วยน่ะครับ อย่าเข้าใจผิดคิดว่าผมบ้าไปคนเดียวเชียว ชื่อเพลง The reason วงไหนร้องหว่าเนี่ย ช่างมันเถอะ แต่มันโดนใจในห้วงนี้พอดี (อ้อ ไม่รับประกันว่าผมพิมพ์เนื้อร้องถูกหรือเปล่านะครับ เพราะมั่วไปตามที่หูมันได้ยิน)

    “That i just need you to know, a thousand reasons for me, to change who i used to be….”

    โต๊ะๆ ตึกๆ โต๊ะ หู้ยมันส์ดีแท้

    (พอๆๆ เถอะสอเอ๊ย บ้าคนเดียวก็เป็นเหมือนกันนะแกนี่ ท่าจะเป็นเอามาก)

    .

    ท่านพี่ไอซ์ขอรับ ด้วยคารวะเช่นกันขอรับ
    เกล้าก็เปรียบเทียบไปเรื่อยเปื่อย นึกอะไรขึ้นมาได้ก็เขียนส่งๆ ไปงั้นเองแหละขอรับ

    เคยมีใครไม่รู้ พูดถึงพ่ออาว์รงค์ว่า แกคือ “ศิลปินผู้วาดภาพด้วยตัวอักษร” ฉะนั้น แน่นอนครับ การเขียนหนังสือย่อมหมายถึงการทำงานศิลปะนั่นเอง เพียงแต่นักเขียนคือผู้ใช้ตัวอักษรวาดอากาศขึ้นมาให้เป็นภาพ

    ผมเคยสังเกตดูเหมือนกันแหละครับว่า หนังสือดีๆ โดยมากนั้น ผู้เขียนจะใช้ถ้อยคำบรรยายภาพได้แจ่มชัด และปรากฎภาพพจน์ในงานชิ้นนั้นยิ่งนัก ยิ่งบรรยายได้แจ่มเท่าใด ยิ่งทำให้งานชิ้นนั้นอ่านง่ายเป็นเงาตามตัว

    ในการเขียนของเกล้านั้น ข้าน้อยจะพยายามสร้างภาพขึ้นมาในหัวก่อน แล้วบรรจงจัดอักษรเข้าไปให้เต็มจนเป็นภาพนั้นๆ ที่เกล้าอยากจะกล่าวหรือพูดถึง

    ลองทำดูบ้างก็ได้นะครับ

    (ตึ๋งดึ๋งๆ เว้นวรรคลีดส์เบสอีกหน่อย)

    .

    ท่านย่าขอรับ ไม่ทราบว่าท่านเคยเข้าไปที่ http://www.dungtrin.com หรือเปล่าขอรับ เว็บไซต์นี้เป็นเว็บของดังตฤณโดยตรงเลยขอรับ คุณดังตฤณได้รวบรวมงานทุกเล่มที่ตีพิมพ์มาเก็บไว้ที่นี่ และ…

    เปิดให้อ่านฟรีๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ โดยไม่เสียตังค์สักกะบาท
    แฮ่ม! เสียเวลาอ่านอย่างเดียว

    เพื่อนหนอนท่านอื่นๆ จะลองเข้าไปอ่านดูก็ได้นะขอรับ ผมว่าคุณดังตฤณเขียนหนังสือได้เนียนไม่น้อยหน้าใครเลยเชียวแหละ นิยายเรื่อง “ทางนฤพาน” ก็หนุกนะครับ คุณดังตฤณมิกซ์ธรรมะเข้ากับงานวรรณกรรมได้ซะนุ่มเนียนจริงๆ

    “เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน” ก็เป็นเมนูแนะนำเช่นกัน แล้วไหนจะบทความสั้นๆ ที่เขียนลงเนชั่นสุดสัปดาห์ จนเอามารวมเล่มในชื่อว่า “คิดจากความว่าง” นั่นอีกเล่า เหอะๆๆ ผมว่าแกนี่แหละ “คาริล ยิบราน” เมืองไทยเลยแหละ

    ขอคุณดังตฤณ หรือ “ศรันย์ ไมตรีเวช” ผู้มีปณิธานว่าจะใช้ตัวอักษรสร้างงานวรรณกรรม ดึงคนให้หันมาเป็นพวกพระพุทธเจ้าให้ได้มากที่สุด โปรดรับการคารวะจากข้าน้อยด้วยสามจิบฮอทช้อค

    (ตะแหว๋ววว บ๊ะ มันลีดส์กีต้าร์มันส์แท้วะ วงไหนอีกล่ะเนี่ย อ้อ เมทาลิก้านี่เอง)

    .

    ท่านพี่ดาบพลิ้วนี่ ไม่ทราบว่าเป็นคนเดียวกันกับพี่สามของเกล้ากระผมหรือไม่ขอรับ?

    หากใช่ โปรดได้รับการทักทายจากข้าน้อย

    ขอท่านพี่โปรดออกกระบี่พลิ้วหรือฟาดซามูไรของมิยาโมโต้ มูซาชิ ออกมาทักทายผู้เยาว์โดยพลัน

    .

    น้องนีน่าไปไหนละเนี่ย สงสัยกลัวพี่ชายคนนี้จะจีบแหง๋ม จึงทำเป็นซุ่ม คอยผลุบๆ โผล่ๆ ไม่ยอมออกมาทักทายกันบ้าง

    เอาๆๆ ไม่เป็นไร

    ตั้งใจเขียนไปเถิดน้องเอ๊ย อย่ามาถือสาพี่ชายแถวนี้เลย พี่ก็เป็นเช่นนี้เองแหละ บ้าๆ บวมๆ ไปตามเรื่อง

    เอ…ว่าแต่ว่า ใครเป็นพี่ใครเป็นน้องกันหว่า ผมเคยแอบเข้าไปดูโปรฟายด์ส่วนตัวของท่าน เห็นบอกว่าเกิดปี 2521 ปีเดียวกันกับเกล้าพอดีเป๊ะ เดือนอะไรล่ะขอรับ? ข้าน้อยเดือนมิถุนา แบบว่าเป็นม้าหน้าฝนน่ะครับ จึงค่อนข้างจะรื่นเริง และไม่ค่อยอดอยากหญ้าอ่อนให้เคี้ยวเล่น

    เห่ๆๆ ขอยืนยันว่าเกล้ายังเป็นหนุ่มน้อยอยู่เลยขอรับ (อะไรหว่าเนี่ย ไกล้จะสามสิบแล้วรึ เฮ้ยๆๆ อย่าพูดเรื่องอายุเลย เดี๋ยวจะกระเทือนคนแถวนี้ไปเปล่าๆ ปลี้ๆ)

    .

    (พอเถิดสอเอ๊ย ไร้สาระมากไปแล้วเจ้า น่าจะให้ท่านเจ้าสำนักหนอนตามมาด่าถึงแถวนี้ด้วย จะได้สำเหนีกนึกถึงสันดานที่ชอบโม้ของตัวเองเสียบ้าง)

    .
    .

    “You see things; and you say why? But I dream things that never were; and say why not?”
    “คุณเห็นบางสิ่งแล้วพูดว่าเขาทำมันได้ไง ฉันฝันถึงบางสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน แล้วพูดว่าทำไมจะทำไม่ได้ล่ะ”
    (George Bernard Shaw = จอร์จ เบอร์นาด ชอว์)

    ตะแหว๋ววว (แน๊ะ! ไม่ยอมหยุดอีกวุ้ย)

  30. ท่านนี่ยิ่งมายิ่งชราแล้ว !
    ท่านไม่สามารถจดจำพี่สามได้หรือไร?
    มาตรแม้นพี่สามท่านจะแฝงร่างมาในฉายาใด
    ลีลากระบี่พลิ้ว โจมตีในความว่าง ยังไม่อาจมีผู้ใดเทียบทาน

    นับว่ายิ่งชราแล้วจริง ๆ ฮา ฮา ฮา

    ขอบพระคุณสำหรับเว็ปท่าน’ดังตฤณ’
    สองแล้วนะขอรับ สำหรับของฝากจากท่าน
    อันแรก Falicity มาคราวนี้ ท่านดังตฤณ
    จะเก็บถนอมไว้อย่างดี ว่าง ๆ จะนำมาขึ้นหิ้งหน้าร้าน

    ด้ายสัมมาคารวะ

  31. (แอบลองใส่ภาพ)

    คารวะท่านเถ้า : ข้าพเจ้าทักทายเจ้าของร้านก่อนเผื่อจะงุบงิบไม่จ่ายค่ากาแฟ “กระบี่พลิ้ว” ฮิฮะ!! ชื่อนี้โดนขอรับขอยืมไปเป็นตัวละครเสียสักตัวได้หรือไม่ขอรับพี่ท่าน ข้าพเจ้าเว้นวรรคไปหนึ่งวันหลังจากเสียวินัยในการท่องเวป มัวแต่จัดพื้นที่บล็อกใหม่ให้ลงตัว ลงได้ลงตัวทั้งรูปแบบและระบบระเบียบการจัดหมวดหมู่เรื่องราวก็คงได้ถึงคราวตอกนิ้วพลิ้วเรื่องยาวสมใจอยากเสียที “โลกของจอมยุทธ์” หรือ “คล้อยหรือแย้ง” ข้าพเจ้าผ่านตาแล้วคันนิ้วอยากต่อยอดเหมือนกัน แต่อุ๊บอิ๊บไว้ก่อน เพียงอยากอ่านทวนไปมาอีกรอบหนึ่งเนื้องเพราะท่านย่อยเสียยิบ บางเรื่องข้าพเจ้าก็คล้อยบางเรื่องคิดจะแย้งแต่ไม่แน่ใจขอทวนอีกรอบ(แหะๆ) เอาเป็นว่า”เห็นแตกต่างออกไปบางส่วนก็แล้วกันขอรับ

    ข้าพเจ้าเชื่อในทางเดินผู้คนแต่ละคนต่างย่อมมียุทธภพเป็นของตัวเองที่ต้องพกพากระบี่เข้าฟาดฟัน สิ่งที่ฟันมิได้หมายถึงผู้คน แม้แต่ความคิดตัวเองก็ยังต้องงัดกระบี่ขึ้นมาฟาดฟันสิ่งที่เกาะกุมให้ขาดสิ้น

    นักเขียนก็ย่อมมีวรรณภพของนักเขียน นักเรียนก็มีสนามสอบและการเรียนเป็นยุทธภพ วิศวกร หมอ สถาปนิก ทหาร นักการเมือง อาชีพทั้งหลายเหล่านี้และอื่นๆ ก็ย่อมมีภาพหนึ่งแลมิติหนึ่งที่เป็นยุทธภพเป็นของตนเอง และภาพหนึ่งมิติภพหนึ่งที่ใช้ร่วมกัน

    กล่าวไปท่าจะยาว ข้าพเจ้าใกล้หมดเวลาเต็มที(เหมือนอุนตราแมนเลย)จำต้องผละออกจากภพออฟฟิต
    เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ดีกว่าขอรับ วันนี้เดี้ยวกลับไปตอกนิ้วกับโตชิ(บ้า)ไร้ใยแก้วที่ห้องรูหนูดีกว่า

    ท่านย่าหนุงหนิง : ข้าพเจ้ามิได้มีเจตนาเลยขอรับมิได้มีจริงๆ มันคล้ายเป็นประโยคอุทานขอรับ “อะ!!ท่านย่าใส่ชุดขาวหรอกหรือ” แฮ่… จะว่าไปข้าพเจ้ามิได้ไปทิ้งรอยไว้ที่เหลาท่านย่าอาจเพราะว่าข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า ท่านย่าต้องมาแถวๆนี้แน่ๆ (อิอิ) เดิมที่ข้าพเจ้าเปิดบล็อกใหม่ไปเรื่อยเปื่อยตามแต่จะมีใครส่งลิงค์มาให้ข้าพเจ้าตามไป พอไปเจอพื้นที่ให้ข้าพเจ้าก็จะลองใช้งานและศึกษาพื้นที่นั้นๆอยู่เสียพัก ประมาณว่าย้ายที่เขียนเปลี่ยนที่เมา เอ้ย!! ที่คิด ท่านเถ้ายังมีตามไปแซวว่าถ้าเอาบล็อกข้าพเจ้ามารวมกันคงได้เซฟเวอร์อภิมหาโคตะระใหญ่แน่ๆ

    wordpress นี่ข้าพเจ้าก็เพิ่งจะมาเรียนรู้ไม่นานแต่พอเริ่มเข้าที่เข้าทางก็พบว่าที่นี่มีอะไรๆที่ลงตัวในการใช้งานและเหมาะสมกับข้าพเจ้าอย่างมาก ประการแรกคือ “เร็ว” ข้อนี้สำคัญ การจัดหมวดหมู่ข้อมูลก็เข้าใจง่ายและสะดวกในการแก้ไข อีกอย่างที่ข้าพเจ้าชมชอบก็คือ ผู้คนไม่พลุกพล่าน อาจเป็นเพราะข้าพเจ้าบริหารมิตราภาพไม่ดีก็ได้กระมังเลยไม่ค่อยชอบอยู่ในที่คนเยอะๆ เหตุผลของการมีบล็อกข้าพเจ้าหัวใหญ่จริงๆคือเป็นที่เก็บข้อมูลเสียมากกว่า หากเรื่องสนทนาแล้วละก็ข้าพเจ้าชมชอบท่องไปตามที่ต่างๆฝากริ้วรอยเอาไว้เป็นดีกว่า แต่ให้เป็นเจ้าภาพเองอย่างที่ท่านเถ้าเปิดคาแฟ่แห่งนี้คงดูแลไม่ไหว

    จริงๆเห็นท่านเถ้าจะเก็บตัวอยู่หลังร้านเขียนเรื่องยาวเข้ามากวนแต่ละทีข้าพเจ้าก็เกรงใจอยู่เหมือนกัน (อา..จริงๆ) ข้าพเจ้าเป็นคนทำงานออฟฟิต เข้างานเช้าทำงานเหมือนวัวควายเงยหน้าอีกทีก็เย็นแล้ว เวลาที่พอจะแวบเข้ามาทักทายก็น้อย(นี่ก็อาศัยหลังคนอื่นกลับกันหมดแล้ว) การเข้ามาทักทายแลกเปลี่ยนความคิดกับท่านเจ้าของคาแฟ่วันละหนเพียงถ้าได้พบเจอเหล่าท่านทั้งหลายงัดข้อคิดมาวางบนโต๊ะกาแฟ วันนั้นถือว่ากำไรสุดๆแล้วขอรับอีกสามเดือนถ้าท่านเถ้ายังไม่ย้ายไปไหน นั่นคงแสดงว่าพวกเราเหล่าท่านได้พบทำเลเสวนาที่ลงตัวแล้วนั่นเองขอรับ …

    พี่สองขอรับ : ข้าพเจ้าคิดไม่ผิดจริงๆที่เรียกท่านพี่สองนำไว้ก่อน ข้าพเจ้าออกมาดูโลกปีเดียวกับท่านพี่ละขอรับเพียงแต่อ่อนเดือนกว่าไม่กี่เดือน(อ่า..แก่แล้วนี่หว่า) พี่เถ้าว่าท่าจะจริงกระบี่พลิ้วข้าพเจ้าโจมตีในความว่าง เพราะถ้าไม่ว่างก็ไม่ได้มาตอกนิ้วพลิ้วกระบี่ให้ชาวบ้านดูชมเป็นแน่ กระบี่เป็นของมีคมขอรับท่านพี่ไม่ควรเอามากวัดแกว่งเล่นขอรับ (เดี้ยวได้เลือด)

    ข้าน้องเฝ้าศึกษาเพลงกระบี่อยู่เพลาหนึ่งค้นพบเรื่องราวบางอย่าง

    คนผู้หนึ่งฝึกเพลงกระบี่ รู้จักฟาดฟันสิ่งของผู้คนนั้นยังมิอาจเรียกว่าจอมยุทธ์เป็นแค่มือกระบี่สามัญ

    คนผู้หนึ่งฝึกฝนควบคุมกระบี่จนสามารถบังคับจิตใจให้มิอาจใช้กระบี่พร่ำเพรื่อได้ยังนับเรียกได้แค่จอมกระบี่เหนือกระบี่

    คนผู้หนึ่งฝึกฝนยิ่งขึ้นไปจนมิต้องชักกระบี่ก็สามารถตัดสิ่งที่กระบี่มิอาจตัดได้นั่นจึงนับเรียกว่าจอมยุทธ์

    อากาศเย็นเยียบเช่นนี้
    ผู้คนกลับชักกระบี่ออกมา
    เป็นเรื่องพึงกระทำจริงหรือ

    ยามนี้เพียงน้ำชากรุ่นร้อนจอกหนึ่งก็มีค่ามากแล้ว
    คารวะท่านพี่สอง หนึ่งจอก

    ข้าน้องไปแล้วขอรับ (พรึบๆๆๆ)

  32. อา…ท่านพี่สาม
    ขอบพระคุณคำตักเตือนของท่าน
    ข้าพเจ้าสำนึกแล้ว เก็บกระบี่คืนฝักแล้วขอรับ

    อากาศเย็นเยียบเช่นนี้
    กระบี่กลับระอุร้อน
    เป็นเพราะกระไร?

    หรือมิใช่เพราะจิตใจผู้คนสุมด้วยฟืนไฟ

    ขอบพระคุณขอรับพี่ท่าน

  33. เอิ๊กๆ

    เชื่อดิว่า ทั้งสามท่าน

    1. ท่านเถ้า
    2. ท่าน สส.
    3. ท่าน swordbelt

    กระผมนั้นมีอายุอานามน้อยกว่าเขาพวก อิอิ
    คารวะขอรับผู้อาวุโส

    อิอิ
    ไอซ์

  34. ว่าจะแว้บมาดูเฉยๆ แล้วแว้บหายตัวไป ก็อดจิ้มๆ สักสี่ห้าบรรทัดไม่ได้

    ขอบคุณท่านสอสอมากเจ้าค่ะที่แนะนำเว็บให้ ข้าพเจ้าไม่เคยเข้าไปดูเลย ว่างๆ จะลองแวะเวียนเข้าไปเจ้าค่ะ

    ขอบคุณท่านพี่สามด้วยเช่นกันที่ชี้แจงแถลงไข ข้าพเจ้าก็ตัดพ้อไปตามประสาคนปากไม่อยู่สุข อย่าได้เก็บมาเป็นกังวล

    ข้าพเจ้าเองก็ทำงานออฟฟิศ ดีที่ไม่ต้องเทียมเกวียนเหมือนท่าน กลับบ้านพอได้ทันเห็นแสงตะวันอยู่บ้าง เมื่อก่อนระบบงานไม่ค่อยดี กว่าจะทำงานเสร็จ เปิดประตูออกมาพระจันทร์โผล่หน้ามาจ๊ะเอ๋แทบทุกวัน เข้าใจความรู้สึกเจ้าค่ะ

    ไอซ์ ขอบใจมากที่ไม่มีชื่อพี่อยู่ในลิสต์ อิอิ

    ไปล่ะ ราตรีสวัสดิ์เจ้าค่ะ

  35. เหอๆๆ งั้นเกล้าคงต้องวางมาดให้ดูแก่ขึ้นบ้างเสียแล้วล่ะ
    ไล่ไปไล่มาไหง๋กลายเป็นว่ามีเพียงแค่ “สองท่าน” เท่านั้นในคาเฟ่แห่งนี้ ที่มีอายุมากกว่าเกล้า

    ตะแหว๋วๆๆ

    ไม่เป็นไรหรอกขอรับท่านพี่ทั้งหลาย อายุของเกล้ามันจะเท่าไหร่ก็ช่างมันปะไร เพราะหากพูดถึงความอาวุโสในถนนนักเขียนแล้ว เกล้ายังถือว่าตัวเองยังไม่เกิดด้วยซ้ำ (ถึงได้มีเวลาว่างมาก มานั่งโม้ให้พวกท่านฟังได้นานๆ เช่นนี้ไงล่ะขอรับ) และอีกอย่าง ว่าไปแล้วหัวใจของเกล้านั้น “Young in spirit” at all time อยู่แล้วล่ะขอรับ

    พี่ท่านเถ้า
    พี่ท่านสาม
    พี่ท่านไอซ์
    พี่ท่านย่า
    พี่ท่านนี่น่า
    นี่แนะ มีใครอีกล่ะแถวนี้ พี่ๆๆๆๆๆ เรียกพี่ให้หมดเลยเชียว

ใส่ความเห็น